เมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ติดไวรัสคอมพิวเตอร์ ไม่ควรตกในจนเกินเหตุเพราะสามารถแก้ไขปัญหาได้ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์รุ่นใด ยี่ห้อใด โดยจะต้องปฏิบัติดังนี้
1. ปิดเครื่อง เมื่อพบไวรัสในเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ทำการบันทึกข้อมูลที่กำลังทำงานอยู่ทั้งหมด แล้วออกจากระบบงาน ปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ เพราะไวรัสคอมพิวเตอร์ แพร่กระจายได้โดยการโหลดเข้าหน่วยความจำ และกระจายสู่โปรแกรมต่างๆ แม้ว่าเราจะสามารถทำงานต่อไปได้ บนระบบที่ติดไวรัสแล้ว ยิ่งเรารีบกำจัดไวรัสให้เร็วเท่าใดโอกาศที่จะถู้งานเรากลับมาได้ก็จะมากขึ้นเท่านั้น
2. ใส่แผ่นดิสก์ที่มีไฟล์ระบบ (สามารถบูตเครื่องได้) ในไดร์ฟ A: โปรแกรมตรวจจับและกำจัดไวรัสคอมพิวเตอร์ทุกโปรแกรมจะมีข้อแนะนำเป็นขึ้นตอนในการสร้าง แผ่นดิสก์ที่ใช้สำหรับบูคเครื่องในเวลาที่เครื่องคอมพิวเตอร์มีปัญหาไม่สามารถบูตเครื่องได้ โดยนำแห่นดิสก์ที่มีไฟล์ระบบแบะแน่ใจว่าไม่มีไวรัสใส่ในไดร์ฟ A: แล้วเปิดเครื่องจะทำให้มั่นใจได้ว่าไม่มีไวรัสอยู่ในหน่วยความจำของเครื่อง
3. ใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัส สแกนฮาร์ดดิสก์ตามคำแนะนำของ โปรแกรมตรวจจับและกำจัดไวรัส เพื่อป้องกันและกำจัดไวรัสจากระบบ ให้หลีกเลี่ยงการซ่อมไฟล์ที่ติดไวรัสแล้ว เพราะการซ่อมไฟล์หมายถึง การที่โปรแกรมจะเข้าไปลบรหัสที่ไวรัสเข้าไปเขียนทับ
4. สแกนแผ่นดิสก์ทุกแผ่นที่ใช้งานอยู่ เพื่อเป็นการป้องกันที่ดี ดังนั้นเราจึงควรปฏิบัติดังนี้
- สแกนแผ่นดิสก์ทุกแผ่นที่ใช้งานอยู่แม้ว่าจะเป็นแผ่นว่าง เพราะแผ่นดิกส์ที่ไม่มีข้อมูลอยู่เลย ก็อาจจะติดไวรัสมาจากการฟอร์แมตได้
- สแกนไฟล์เครือข่าย ถ้าเราอยู่ในระบบเครือข่าย หรือาจแจ้งผู้ดูแลระบบเครือข่ายให้ดำเนินการ
- สแกนแผ่นสำรองข้อมูลทุกแผ่น และเมื่อเรามั่นใจว่าแผ่นสำรองข้อมูลของเราไม่ติดไวรัสแน่นอน ให้เราทำการ Restore ข้อมูลที่ถูกทำลายในฮาร์ดิสก์โดยข้อมูลเหล่านี้จะไปแทนที่ไฟล์บนฮาร์ดดิสก์อีกครั้งหนึ่ง และให้สแกนฮาร์ดดิสก์บ่วยครั้งขึ้นหลังจากนั้น 2-3 สัปดาห์ เพื่อให้แน่ใจว่าเราปลอดภัยจากไวรัสแล้วจริงๆ
เข้าชม : 1542
|